การถูกงูกัดเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการพบเจองู หรือในขณะทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เดินป่า ปีนเขา หรือทำงานในสวน การได้รับพิษจากงูอาจส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายและชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ผมจะพาไปดูขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องเมื่อถูกงูกัด และวิธีการดูแลเบื้องต้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว
เข้าใจพิษของงู แต่ละประเภท
ก่อนที่จะพูดถึงวิธีการปฐมพยาบาลอย่างละเอียด เราต้องเข้าใจถึงประเภทของงูที่จะมีทั้งแบบมีพิษ และไม่มีพิษ สามารถสังเกตได้เบื้องต้นโดย
- งูไม่มีพิษ : รอยฟันจะเรียงเป็นแถว เช่น งูเหลือม งูหลาม งูเขียวปากจิ้งจก งูสิง งูแสงอาทิตย์ งูทางมะพร้าว
- งูที่เป็นพิษ :เมื่อถูกกัดจะมีรอยเขี้ยว 2 จุดชัดเจน หรือมีเลือดซึมออกจากแผล และบริเวณรอบๆ รอยเขี้ยวมีสีคล้ำ หรืออาจพองเป็นถุงน้ำ เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูทะเล
ซึ่งพิษของงูสามารถแบ่งผลกระทบได้อีก 3 อย่าง อาการของพิษงูจะเริ่มมีผลภายใน 15 – 30 นาที หรืออาจใช้เวลานานถึง 9 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของงู
ประเภทผลกระทบของพิษงูต่อร่างกาย
- พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin):
- งูเห่า, งูจงอาง, งูสามเหลี่ยม, และ งูทับสมิงคลา
- อาการ: แขนไม่มีแรง กระวนกระวาย ลิ้นเกร็ง พูดจาอ้อแอ้ ตามัว น้ำลายฟูมปาก เนื่องจากกล้ามเนื้อการกลืนเป็นอัมพาต หยุดหายใจ และอาจเสียชีวิตในที่สุด
- พิษต่อระบบการแข็งตัวของเลือด (Hematotoxin):
- งูเขียวหางไหม้, งูแมวเซา, และ งูกะปะ
- อาการ: ปวดแผลมาก มีเลือดซึมออกจากแผล เลือดออกจากอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดกำเดา เหงือก ไอ อาเจียน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือด เกิดจากภาวะระบบไหลเวียนล้มเหลว และอาจเสียชีวิตในที่สุด
- พิษต่อกล้ามเนื้อ (Mytotoxin):
- มักพบในงูทะเล
- อาการ: มักทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ
ขั้นตอนปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด
การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ในการลดความรุนแรงของพิษและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว มีขั้นตอนดังนี้:
1. สงบสติอารมณ์
-
- การสงบสติอารมณ์: เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ควรให้ผู้ถูกกัดอยู่ในสภาพสงบและไม่เคลื่อนไหวมากเกินไป การเคลื่อนไหวอาจช่วยให้พิษแพร่กระจายเร็วขึ้น
2. รักษาตำแหน่งของอวัยวะที่ถูกกัด
-
- การรักษาตำแหน่งของอวัยวะที่ถูกกัด: ให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าหัวใจ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของพิษในร่างกาย
3. ทำความสะอาดบาดแผล
-
- การทำความสะอาดบาดแผล: ใช้น้ำสะอาดล้างบริเวณที่ถูกกัดเบาๆ เพื่อทำความสะอาดบาดแผล แต่ไม่ควรขัดถูหรือใช้สบู่ที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้บาดแผลเกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น
4. หลีกเลี่ยงการดูดพิษ
-
- ห้ามดูดพิษ: อย่าใช้ปากหรืออุปกรณ์อื่นๆ ในการดูดพิษออกจากบาดแผล วิธีนี้ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยในการกำจัดพิษ แต่ยังอาจทำให้พิษแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่พยายามดูดพิษ
5. หลีกเลี่ยงการพันผ้ารัด
-
- การห้ามใช้ผ้ารัด: การพันผ้ารัดเหนือบริเวณที่ถูกกัดไม่ควรทำ เพราะอาจทำให้พิษคั่งอยู่ในบริเวณนั้นมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะพิษคั่ง และทำให้การรักษายากขึ้น
6. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนหรือเย็น
-
- การไม่ใช้ความร้อนหรือเย็น: อย่าพยายามใช้ความร้อนหรือเย็นในการรักษาบาดแผล การใช้ความร้อนหรือเย็นอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมและไม่ช่วยในการบรรเทาพิษ
7. ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์
-
- การขอความช่วยเหลือทางการแพทย์: ติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินหรือไปที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาที่ดีที่สุดอาจรวมถึงการให้เซรุ่มต้านพิษ (antivenom) และการดูแลรักษาอื่นๆ ตามสภาพพิษและอาการที่แสดงออก
หากคุณต้องการเรียนรู้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นเมื่อถูกงูกัด ถูกของมีคมแทง จนกระทั่งวิธีการ CPR อย่างถูกวิธีเราขอนำเสนอ คอร์สอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น จาก CPR ง่าย นิดเดียว ที่คุณจะได้ฝึกปฏิบัติใช้อุปกรณ์ในการปฐมพยาบาลจริง ราคาคอร์สอบรมถูกมาก!!! ใช้บริการวันนี้ลดทันที 40%
รายละเอียด : อบรมปฐมพยาบาล.com
ติดต่อสอบถาม : [email protected]
วิธีการดูแลเบื้องต้นในกรณีที่รอการรักษาพยาบาล
ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ทันที ยังมีวิธีการดูแลเบื้องต้นที่สามารถทำได้เพื่อช่วยบรรเทาอาการ:
1. ให้ความสงบแก่ผู้ถูกงูกัด
-
- การให้ความสงบ: ให้ผู้ที่ถูกกัดอยู่ในสภาพสงบ ไม่เคลื่อนไหวมากเกินไป เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของพิษ
2. สังเกตอาการอยู่เสมอ
-
- การสังเกตอาการ: คอยสังเกตอาการของผู้ถูกกัด เช่น อาการบวม แดง หรือเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผล อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงความรุนแรงของพิษ
3. การป้องกันการติดเชื้อ
-
- การป้องกันการติดเชื้อ: ใช้ผ้าสะอาดปิดบาดแผลเบาๆ หากมีการระคายเคืองหรือแผลเปิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
วิธีการรักษาทางการแพทย์ เมื่อถูกงูกัดมีอะไรบ้าง
หลังจากที่ผู้บาดเจ็บได้รับการดูแลเบื้องต้นแล้ว การรักษาเฉพาะทางจะต้องดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พวกเขาจะใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมตามประเภทของพิษและลักษณะของการบาดเจ็บ ซึ่งอาจรวมถึง:
1. ให้เซรุ่มแก้พิษงู (Antivenom)
-
- การให้เซรุ่มแก้พิษงู: เซรุ่มต้านพิษเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญในการจัดการกับพิษจากงู โดยจะทำการให้เซรุ่มต้านพิษเพื่อทำลายพิษในร่างกาย
2. ดูแลรักษาอาการ
-
- การดูแลรักษาอาการ: การรักษาอาจรวมถึงการดูแลรักษาอาการต่างๆ เช่น การรักษาบาดแผล การจัดการกับอาการบวมหรือการติดเชื้อ
3. ติดตามผล อาการ
-
- การติดตามผล: ผู้ที่ถูกกัดควรได้รับการติดตามผลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบการฟื้นตัวและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ข้อควรระวัง !!! หากผู้ถูกงูกัดต้องการยาแก้ปวด ห้ามให้ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางในกรณีที่ถูกงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด และห้ามใช้ยา aspirin หรือ NSAIDs ในกรณีที่ถูกงูที่มีพิษต่อระบบโลหิตกัด (ควรปรึกษาแพทย์และไม่ควรใช้ยาสามัญประจำบ้านด้วยตนเอง)
สรุป
การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัดมีความสำคัญในการลดความรุนแรงของพิษและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว การปฏิบัติตามขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและการขอความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยเร็วที่สุดเป็นสิ่งที่สำคัญ นอกจากนี้ การป้องกันและการเตรียมตัวก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการถูกงูกัด การเข้าใจและปฏิบัติตามข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
บทความที่น่าสนใจ
- บำรุงรักษาเชิงแก้ไข (Corrective Maintenance)
- ทุกเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน
- BS 8210 คู่มือการจัดการกับทรัพย์สินอาคาร