Home » โดนงูกัด ต้องปฐมพยาบาลยังไงให้ถูกต้อง และปลอดภัย
ปฐมพยาบาลถูกงูกัด

โดนงูกัด ต้องปฐมพยาบาลยังไงให้ถูกต้อง และปลอดภัย

44 views

การถูกงูกัดเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการพบเจองู หรือในขณะทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เดินป่า ปีนเขา หรือทำงานในสวน การได้รับพิษจากงูอาจส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายและชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ผมจะพาไปดูขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องเมื่อถูกงูกัด และวิธีการดูแลเบื้องต้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว

เข้าใจพิษของงู แต่ละประเภท

ก่อนที่จะพูดถึงวิธีการปฐมพยาบาลอย่างละเอียด เราต้องเข้าใจถึงประเภทของงูที่จะมีทั้งแบบมีพิษ และไม่มีพิษ สามารถสังเกตได้เบื้องต้นโดย

  • งูไม่มีพิษ : รอยฟันจะเรียงเป็นแถว เช่น งูเหลือม งูหลาม งูเขียวปากจิ้งจก งูสิง งูแสงอาทิตย์ งูทางมะพร้าว
  • งูที่เป็นพิษ :เมื่อถูกกัดจะมีรอยเขี้ยว 2 จุดชัดเจน หรือมีเลือดซึมออกจากแผล และบริเวณรอบๆ รอยเขี้ยวมีสีคล้ำ หรืออาจพองเป็นถุงน้ำ เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูทะเล

ซึ่งพิษของงูสามารถแบ่งผลกระทบได้อีก 3 อย่าง อาการของพิษงูจะเริ่มมีผลภายใน 15 – 30 นาที หรืออาจใช้เวลานานถึง 9 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของงู

ประเภทผลกระทบของพิษงูต่อร่างกาย

ประเภทผลกระทบของพิษงูต่อร่างกาย

  • พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin):
    • งูเห่า, งูจงอาง, งูสามเหลี่ยม, และ งูทับสมิงคลา
    • อาการ: แขนไม่มีแรง กระวนกระวาย ลิ้นเกร็ง พูดจาอ้อแอ้ ตามัว น้ำลายฟูมปาก เนื่องจากกล้ามเนื้อการกลืนเป็นอัมพาต หยุดหายใจ และอาจเสียชีวิตในที่สุด
  • พิษต่อระบบการแข็งตัวของเลือด (Hematotoxin):
    • งูเขียวหางไหม้, งูแมวเซา, และ งูกะปะ
    • อาการ: ปวดแผลมาก มีเลือดซึมออกจากแผล เลือดออกจากอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดกำเดา เหงือก ไอ อาเจียน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือด เกิดจากภาวะระบบไหลเวียนล้มเหลว และอาจเสียชีวิตในที่สุด
  • พิษต่อกล้ามเนื้อ (Mytotoxin):
    • มักพบในงูทะเล
    • อาการ: มักทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ

ขั้นตอนปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด

ขั้นตอนปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด

การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ในการลดความรุนแรงของพิษและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว มีขั้นตอนดังนี้:

1. สงบสติอารมณ์

    • การสงบสติอารมณ์: เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ควรให้ผู้ถูกกัดอยู่ในสภาพสงบและไม่เคลื่อนไหวมากเกินไป การเคลื่อนไหวอาจช่วยให้พิษแพร่กระจายเร็วขึ้น

2. รักษาตำแหน่งของอวัยวะที่ถูกกัด

    • การรักษาตำแหน่งของอวัยวะที่ถูกกัด: ให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าหัวใจ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของพิษในร่างกาย

3. ทำความสะอาดบาดแผล

    • การทำความสะอาดบาดแผล: ใช้น้ำสะอาดล้างบริเวณที่ถูกกัดเบาๆ เพื่อทำความสะอาดบาดแผล แต่ไม่ควรขัดถูหรือใช้สบู่ที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้บาดแผลเกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น

4. หลีกเลี่ยงการดูดพิษ

    • ห้ามดูดพิษ: อย่าใช้ปากหรืออุปกรณ์อื่นๆ ในการดูดพิษออกจากบาดแผล วิธีนี้ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยในการกำจัดพิษ แต่ยังอาจทำให้พิษแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่พยายามดูดพิษ

5. หลีกเลี่ยงการพันผ้ารัด

    • การห้ามใช้ผ้ารัด: การพันผ้ารัดเหนือบริเวณที่ถูกกัดไม่ควรทำ เพราะอาจทำให้พิษคั่งอยู่ในบริเวณนั้นมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะพิษคั่ง และทำให้การรักษายากขึ้น

6. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนหรือเย็น

    • การไม่ใช้ความร้อนหรือเย็น: อย่าพยายามใช้ความร้อนหรือเย็นในการรักษาบาดแผล การใช้ความร้อนหรือเย็นอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมและไม่ช่วยในการบรรเทาพิษ

7. ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์

    • การขอความช่วยเหลือทางการแพทย์: ติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินหรือไปที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาที่ดีที่สุดอาจรวมถึงการให้เซรุ่มต้านพิษ (antivenom) และการดูแลรักษาอื่นๆ ตามสภาพพิษและอาการที่แสดงออก

หากคุณต้องการเรียนรู้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นเมื่อถูกงูกัด ถูกของมีคมแทง จนกระทั่งวิธีการ CPR อย่างถูกวิธีเราขอนำเสนอ คอร์สอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น จาก CPR ง่าย นิดเดียว ที่คุณจะได้ฝึกปฏิบัติใช้อุปกรณ์ในการปฐมพยาบาลจริง ราคาคอร์สอบรมถูกมาก!!! ใช้บริการวันนี้ลดทันที 40%

รายละเอียด : อบรมปฐมพยาบาล.com

ติดต่อสอบถาม : [email protected]

วิธีการดูแลเบื้องต้นในกรณีที่รอการรักษาพยาบาล

ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ทันที ยังมีวิธีการดูแลเบื้องต้นที่สามารถทำได้เพื่อช่วยบรรเทาอาการ:

1. ให้ความสงบแก่ผู้ถูกงูกัด

    • การให้ความสงบ: ให้ผู้ที่ถูกกัดอยู่ในสภาพสงบ ไม่เคลื่อนไหวมากเกินไป เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของพิษ

2. สังเกตอาการอยู่เสมอ

    • การสังเกตอาการ: คอยสังเกตอาการของผู้ถูกกัด เช่น อาการบวม แดง หรือเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผล อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงความรุนแรงของพิษ

3. การป้องกันการติดเชื้อ

    • การป้องกันการติดเชื้อ: ใช้ผ้าสะอาดปิดบาดแผลเบาๆ หากมีการระคายเคืองหรือแผลเปิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

วิธีการรักษาทางการแพทย์ เมื่อถูกงูกัดมีอะไรบ้าง

วิธีการรักษาทางการแพทย์ เมื่อถูกงูกัดมีอะไรบ้าง

หลังจากที่ผู้บาดเจ็บได้รับการดูแลเบื้องต้นแล้ว การรักษาเฉพาะทางจะต้องดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พวกเขาจะใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมตามประเภทของพิษและลักษณะของการบาดเจ็บ ซึ่งอาจรวมถึง:

1. ให้เซรุ่มแก้พิษงู (Antivenom)

    • การให้เซรุ่มแก้พิษงู: เซรุ่มต้านพิษเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญในการจัดการกับพิษจากงู โดยจะทำการให้เซรุ่มต้านพิษเพื่อทำลายพิษในร่างกาย

2. ดูแลรักษาอาการ

    • การดูแลรักษาอาการ: การรักษาอาจรวมถึงการดูแลรักษาอาการต่างๆ เช่น การรักษาบาดแผล การจัดการกับอาการบวมหรือการติดเชื้อ

3. ติดตามผล อาการ

    • การติดตามผล: ผู้ที่ถูกกัดควรได้รับการติดตามผลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบการฟื้นตัวและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ข้อควรระวัง !!! หากผู้ถูกงูกัดต้องการยาแก้ปวด ห้ามให้ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางในกรณีที่ถูกงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด และห้ามใช้ยา aspirin หรือ NSAIDs ในกรณีที่ถูกงูที่มีพิษต่อระบบโลหิตกัด (ควรปรึกษาแพทย์และไม่ควรใช้ยาสามัญประจำบ้านด้วยตนเอง)

สรุป

การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัดมีความสำคัญในการลดความรุนแรงของพิษและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว การปฏิบัติตามขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและการขอความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยเร็วที่สุดเป็นสิ่งที่สำคัญ นอกจากนี้ การป้องกันและการเตรียมตัวก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการถูกงูกัด การเข้าใจและปฏิบัติตามข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

บทความที่น่าสนใจ

บทความน่าสนใจ

แหล่งรวมความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน
ที่คุณสามารถเข้ามาค้นหาข้อมูลได้ทุกเมื่อ เพื่อความปลอดภัยที่ยั่งยืนในการทำงาน!

ติดต่อเรา : [email protected]

โทรศัพท์ : 099 936 6359

@2024 – PenciDesign. All Right Reserved. Designed and Developed by Sidlesl